จะเลือกใช้ม่านแบบไหนดี
เป็นคำถามของใครอีกหลายคนตั้งและต้องการคำตอบ ในการตัดสินใจที่จะเลือกแบบม่าน แน่นอนน้อยคนที่จะมีประสบการณ์ กับม่านหลายๆแบบ หรือมีถ้าไม่ใช้ประจำ ก็อาจเปรียบเทียบ ถึงข้อดีข้อเสียได้ไม่ชัดเจน การค้นหาคำตอบที่ยังเป็นข้อสงสัยอยู่ ว่าจะทำม่านแบบไหนถึงจะดี และลงตัว ก็คงเป็นเรื่องอยู่บ้าง ถ้าถามหลายคน ก็จะได้หลายคำตอบ จะมีข้อโต้แย้งเสมอ หลายคนก็หลายเหตุผล เพราะความชอบของแต่ละคนเหมือนกัน ประสบการณ์การได้สัมผัสแตกต่างกัน การใช้งาน อาจได้รับในมุมมองที่ไม่เหมือนกัน เกิดความพอใจที่ไม่เท่ากัน
จากปัญหาที่เกิด จริงๆเป็นเรื่องปรกติของการทำม่าน แท้จริงแล้ว เจตนาของการทำผ้าม่านก็คือ ใช้ม่านป้องกัน เช่น กันแสง กันแดด กันร้อน กันสายตาจากคนภายนอก และสุดท้ายคือความสวยงาม ม่านทุกชนิดสามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้ทั้งหมด แต่ลำดับสุดท้ายคือความสวยงาม อันนี้คือปัญหา เป็นคำถามที่ว่าจะทำ ม่านแบบไหนดี
ข้อเท็จจริงคือ ควรทำแบบที่ชอบ แต่จะมีที่มาคือกระแส หรือความนิยม ที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ประมาณ 5-10 ปีที่ผ่านมา ม่านที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือม่านพับ ไม่ว่าบ้านไหน หลังเล็ก หลังใหญ่ จะต้องมีม่านพับเป็นส่วนหนึ่งเสมอ หรือบางบ้านใช้ทั้งหลังก็มี นั้นคือความนิยม ก่อนนั้นประมาณมากกว่า 10 ปี ม่านหลุยส์เป็นอีกแบบได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน ด้วยความสวยงามและรายละเอียด เพราะม่านหลุยส์ถือว่าเป็นที่สุดของม่าน แต่ทุกวันนี้ คนที่ทำม่านหลุยส์น้อยมาก
ความจริงม่านทุกแบบ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการหรือไม่ต้องการข้อเสียอะไรของม่านนั้น หรือคุณจะชอบตามแบบสมัยนิยม ถ้าคุณขอบสมัยนิยมในยุคนี้ ก็ต้องของแนะนำเป็นม่านแบบตาไก่ เนื่องจากการตกแต่ง4-5 ปีที่ผ่านมา หรือมากกว่านั้น การตกแต่ง หรือรูปทรงบ้าน นิยมสไตล์โมเดิร์น เช่นบ้านรุ่นใหม่ จะมีรูปทรงเป็นกล่อง เน้นความเป็นเหลี่ยม รูปแบบง่ายๆ สไตล์โมเดิร์นเข้ามามีบทบาทอย่างมาก นั้นหมายความว่า การตกแต่งแนวโมเดิร์น เน้นความเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ตู้ เตียง เน้นรูปทรงที่เป็นเหลี่ยม ออกแบบให้ดูง่ายๆ ซึ่งจะสังเกตได้จากแหล่งชั้นนำต่างๆ เช่น SB และ Index ที่เป็นผู้นำในการออกแบบ สินค้าการตกแต่งบ้าน เกือบ100% เน้นรูปทรงความเรียบง่าย เป็นที่มาของม่านตาไก่
ม่านแบบตาไก่ เป็นคำตอบที่น่าจะชัดเจนที่สุด ณ เวลานี้ ด้วยรูปแบบที่เรียบง่าย ด้วยการเจาะที่หัวผ้าใส่ห่วงพลาสติกที่เรียกว่าตาไก่ สอดรางทรงกลม เข้าตามห่วงที่ดังกล่าว สลับไปมา เกิดเป็นลอนม่านโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องจัดหรือรีดจีบตามม่านรูปแบบอื่นๆ แต่จะได้ความสวยงามในแบบที่เรียบง่าย เข้าได้กับการตกแต่งยุคปัจจุบัน ม่านตาไก่ เป็นม่านที่มีคนทำมากที่สุดในยุคนี้ นั้นคือความนิยมในปัจจุบัน ฉนั้น ถ้าถามแบบไหนดี คำตอบคือ ม่านตาไก่ครับ
ทั้งนี้ ตามที่กล่าวในเบื้องต้น ม่านทุกแบบ ก็จะมีขอดีข้อเสียแตกต่างกันไป สำหรับม่านตาไก่เอง ก็อาจมีข้อเสียอยู่บ้างเช่น การรูด เปิด-ปิดอาจไม่คล่องตัวเท่ากับม่านอื่นที่ใช้รางที่มีลูกล้อในการช่วย ซึ่งตรงนั้น ความยากง่ายจะต่างกันบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะลำบากในใช้งาน เพราะว่าในหนึ่งวัน เราคงรูดม่านไม่กี่เที่ยว แต่เมื่อคิดถึงส่วนดี ความสวยงาม ความนิยม นั้นมีมากกว่า หรืออื่นๆ เช่น แบบเข้ากับสมัยนิยม การใช้งานที่ยาวนานกว่า อุปกรณ์ชิ้นส่วนรางมีน้อยกว่า ดูแลรักษา ถอดทำความสะอาดง่ายกว่า ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับม่านแบบอื่นๆ
ฉะนั้นการเลือกแบบม่านปัจจุบันนี้ ม่านตาไก่จึงเป็นที่นิยมมากกว่าม่านแบบอื่นอย่างจัดเจน แต่ทั้งหลายทั้งหมด ม่านแบบอื่น ก็ยังมีข้อดี หรือมีความพิเศษ ลองมาดูว่ามีความแตกต่างอย่างไร ลองมาดูกันครับ
1.ผ้าม่าน แบบตอกตาไก่
ผ้าม่านตอกตาไก่ ทีได้รับความนิยมเนื่องจากมีข้อพิเศษหลายอย่างต่างจากม่านรูปแบบอื่น เป็นรูปแบบที่เรียบง่าย ดูคลาสสิก สะดวกในการในการใช้งาน ไม่ต้องมีอุปกรณ์เกี่ยวข้องอะไรมาก ราคาไม่แพง ง่ายต่อการดูแลรักษา สามารถถอดซักและทำความสะอาดได้ไม่ยุ่งยาก ลักษณะของม่านตอกตาไก่คือ เจาะรูที่หัวผ้าม่าน เพื่อใส่ห่วงพลาสติกลักลักษณะรูปโดนัท มี2ชิ้นประกบหน้าหลัง ติดกับตัวผ้า ซึ่งเรียกว่าตาไก่ ไว้สำหรับสอดรางที่เป็นทรงกลม อาจเป็นรางไม้ รางอลูมิเนียม รางเหล็ก หรือ รางสแตนเลสก็ได้ สำหรัยรางที่ใช้กับม่านตาไก่ มีอยู่ 3 ขนาดคือ รางขนาด 19 ม.ม.(6 หุน) ขนาด 25 ม.ม.(1นิ้ว) ขนาด 35 ม.ม. (1.5นิ้ว) ขนาดที่นิยมใช้มากกว่า จะเป็นรางขนาด 19 ม.ม. เนื่องจากขนาดพอเหมาะกับขนาดผ้าม่านที่ใช้ตามที่พักอาศัยโดทั่วไป มองดูแล้วลงตัว สวยงามมากกว่า ส่วนราง 25 ม.ม. และ ขนาด 35 ม.ม. ก็จะเหมาะผ้าม่านที่ชุดใหญ่ ที่มีความกว้าง ความสูงมากกว่า 3 เมตรขึ้นไป
ผ้าม่านตาไก่
แบบผ้าม่านตาไก่ ชนิดของรางที่นิยมใช้ เพื่อการใช้งานง่ายและคล่องตัว ต้องเป็นวัสดุที่ทำจากสแตนเลส ซึ่งป็นวัสดุที่มีพื้นผิวเรียบกว่ารางชนิดอื่น ทำให้รูดเปิด-ปิด คล่องตัวกว่า สามารถเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ว่าผ้าม่านจะเป็นสีอะไร ภายในห้องจะแต่งแบบไหน สแตนเลสไม่ขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าว รางสแตนเลส ใช้ได้ทนทาน ไม่มีโอกาสเสียหาย ไม่ดำ สีไม่ลอก ไม่ขึ้นสนิม และที่สำคัญ สามารถดัดโค้งตามพื้นที่ที่ออกแบบสำหรับห้องนั้น อาจดัดเป็นรูปตัว L หรือ ตัว U ตามพื้นที่ของห้อง เช่นหน้าต่างหรือประตูที่เป็นกระจกหักมุม 2 หรือ 3 ด้าน ซึ่งรางอื่นอาจทำไม่ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัด รางสแตเลสสามารถดัดได้และดีกว่า
แต่อย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่ารางอย่างอื่นไม่ดี แต่ละชนิดก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน รางไม้ ก็จะได้คุณค่าของความเป็นไม้ ก็จะได้อีกบรรยากาศ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะออกแบบให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมภายในแค่ไหน แต่อาจมีข้อเสียบ้างสำหรับรางไม้ ถ้าผ้าม่านนั้นชุดใหญ่ มีความกว้างและความสูงมาก น้ำหนักก็จะมากขึ้น อาจทำให้รางที่ทำจากไม้อาจแอ่นระหว่างขายึด หรือตกท้องช้างได้ เนื่องจากการใช้ขายึดราง ไม่ว่าชุดเล็กหรือชุดใหญ่แค่ไหน ก็ใช้ขายึดได้แค่ 3 ตัวเท่านั้น คือ หัวด้านซ้าย จุดกึ่งกลาง และหัวด้านขวา ไม่สามารถยึดได้มากกว่า 3 จุด เนื่องจากข้อจำกัดของรูปแบบม่านตาไก่ ที่ต้องรูดม่านทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวามาชนกันตรงกลาง แบบมีผ้าโปร่ง
ม่านตาไก แบบม่าน การใช้ผ้า ม่านตอกตาไก่ใช้ผ้าพอๆกับม่านจับจีบ หรืออาจใช้น้อยกว่าเล็กน้อยได้เพราะว่าไม่ได้ล๊อกจีบแบบ ผ้าม่านจับจีบ โดยสามารถยึดระยะได้มากกว่า และไม่นิยมรีดจีบให้คมหรือเป็นสัน จะนิยมรีดเรียบ เมื่อสอดรางผ่านห่วงตามรูปแบบก็จะทำให้ผ้าเกิดเป็นลอน โดยตัวรางจะเป็นตัวบังครับทำให้เกิดลอนดังกล่าว
2.ผ้าม่าน แบบจับจีบ
ผ้าม่านจีบ เป็นรูปแบบมาตรฐานอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการทำผ้าม่าน เป็นที่นิยมทำมา นาน สามารถดัดแปลง ตกแต่งเพิ่มเติมเป็นผ้าม่านรูปแบบต่างๆได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะทำเป็นม่านหลุยส์ ม่านกล่อง ม่านรางโชว์ ตัวสำคัญหลักคือการจับผ้าเป็นจีบ เมื่อนำไปประกอบเข้ากับหัวหลุยส์ก็เรียกว่า”ม่านหลุยส์” ทำกล่องครอบส่วนบนหัวม่านเรียกว่า”ม่านกล่อง” และนำไปแขวนกับรางโชว์หรือรางประดับ ก็เรียกว่า”ม่านรางโชว์”
แบบผ้าม่านจับจีบ
จีบผ้าม่าน หลักการของม่านจีบ คือการใช้ผ้าเท่าตัวของความกว้าง ของประตูและหนในการตัดเย็บ เพื่อให้ลงตัว สวยงาม นำผ้าส่วนที่เหลือจากความกว้างมาจับเป็น วิธีคือจับผ้าส่วนหัวมาเรียงทบซ้อนตามแนวนอนจากซ้ายไปขวาของผืนผ้า โดยจับเป็น 3 จีบ 2 จีบ หรือ 1 จีบ ก็ได้เช่นกัน โดยมีช่วงห่าง ระยะเท่าๆกันประมาณ10ซ.ม. ตลอดทั้งผืน หลังจับจีบด้านบนที่หัวผ้า ใต้จีบลงมามักรีดให้เป็นสันคม พับสลับไปมาเหมือนหีบเพลง เป็นระเบียบเรียงกันสวยงาม
ด้านล่างที่เรียกว่าชายผ้าม่าน จะใส่โซถ่วงเพื่อให้ผ้ามีน้ำหนักเพิ่มขึ้น หรืออีกแบบ คือไม่ต้องรีดจีบให้เป็นสันคม จัดผ้าให้เกิดลอนแทนการรีดจีบจะได้ผ้าม่านจีบอีกรูปแบบหนึ่งที่ดูนุ่มนวล เกิดลอนเรียงซ้อนกันสวยงาม แต่อาจจะเหมาะกับผ้าที่มีน้ำหนัก พริ้วไหวและทิ้งตัวดีเท่านั้น ไม่ใส่โซ่ถ่วงด้านล่าง สำหรับจีบแต่ละจีบจะเสียบตะขอไว้เพื่อใช้เกี่ยวกับลูกล้อในรางม่าน ผ้าม่านแบบจับจีบใช้ได้กับรางม่านหลายชนิด มีรางม่านให้เลือกใช้หลายตามความต้องการและเหมาะสม แบบผ้าม่านจีบ มีผ้าโปร่ง
แบบรางม่านจีบ รางที่นิยมในปัจจุบันคือรางM คือรางที่มีรูปหน้าตัดลักษณคล้ายตัวM ใช้ลูกล้อคู่ ทำให้การรูดผ้าม่านลื่นไหล คล่องตัวมากขึ้น ราคาอาจแพงกว่ารางตัวCที่ใช้ลูกล้อเดี่ยวบ้างเล็กน้อย แต่แข็งแรงกว่า ไหลลื่นกว่า และยังสามารถดัดโค้ง 90 องศาได้ ทำตามพื้นที่ๆเป็นรูปตัว L หรือตัว U โดยใช้เครื่องดัดโค้ง และยังมีรางสำหรับดัดโค้งด้วยมือ มีรูปหน้าตัดคล้ายตัว I สำหรับพื้นที่ที่องศาไม่แน่นอน คือสามารถดัดได้อิสระตามความต้องการ ยังมีรางอีกหลายชนิดที่เหมาะกับม่านจีบ โดยส่วนใหญจะมีลักณะคล้ายรางM ขึ้นอยู่ความเหมาะสมและการเลือกใช้
3.ผ้าม่านพับ
ผ้าม่านพับ (roman blind) เป็นม่านอีกรูปแบบที่ได้รับความนิยม ลักษณะคือเมื่อเก็บหรือเปิดม่านจะพับเป็นชั้นๆเป็นระยะ เรียงกันขึ้น-ลงตามแนวดิ่ง ระดับของแต่ละพับจะลดหลั่นเพื่อความสวยงาม ด้านหลังที่เป็นตัวกำหนดให้เกิดการพับ เสริมเหล็กเส้นเพื่อเป็นตัวบังคับให้เกิดรูปทรงโดยใส่เป็นระยะตามขนาดความสูงของม่าน สำหรับม่านพับจะใช้ผ้าน้อยกว่าผ้าม่านแบบอื่น เนื่องจากรูปทรงของเรียบตลอดทั้งผืน ตกแต่งเสริมลายอะเอียดได้หลากหลาย แบบม่านพับ
อาจทำกุ้น ใช้ผ้าอีกสีมาตัดทั้งด้านข้างสองด้านซ้าย-ขวา หรือบน-ล่าง ตามการออกแบบ หรือแต่งเติมด้านบน อาจเพิ่มชั้นบนทำเชิง เดินลวยลาย ตัดโค้ง ใส่ชายครุยได้หลายรูปแบบ การประกอบเข้ากับรางม่านต้องใช้เมจิกเทปหรือเทปตีนตุ๊กแก ตัวนิ่มเย็บติดกับผ้าม่าน ตัวแข็งจะติดอยู่ตัวรางโดยใช้กาวยึดติด รางม่าพับเป็นรางเฉพาะ
หลักการพับเก็บของม่านก็คือ การใช้เชือกเป็นตัวดึงขึ้นและปล่อยลงโดยผ่านแกนม้วนเชือกซึ่งซ่อนอยู่ในตัวราง ส่งต่อไปยังเฟือง ที่มีโซ่ไข่ปลาคล้องอยู่ โซ่ไข่ปลาจะเป็นตัวคอลโทรลหมุนซ้ายและขวา ทำให้ม่านขึ้น-ลง หรือ เปิด-ปิด ตามระยะที่ต้องการ แบบม่านพับ แบบมีกุ้น
4 ม่านหลุยส์
ผ้าม่านหลุยส์ รูปแบบที่คลาสสิคสวยงาม เป็นที่นิยมตลอดกาล รูปแบบความเป็นม่านอย่างแท้จริง จุดเด่นคือส่วนบนของม่านเรียกว่าหัวหลุยส์ ประกอบเข้ากับม่านหลักที่ใช้ในการเปิด-ปิด คือผ้าม่านจับจีบทั้งผ้าทึบและผ้าโปร่ง โดยผ้าโปร่งค่อนข้างจำเป็นสำหรับม่านหลุยส์ จะทำให้ชุดผ้าม่านสมบูรณ์มากขึ้น ความลงตัวสวยงามผ้าทึบจะถูกรวบไว้ทั้งสองด้านทั้งซ้ายและขวาโดยสายรวบม่านที่เป็นเกลียวเชือมีภู่ห้อยอยูกับตะขอทองเหลือง จะทำให้เพิ่มสมบูรณ์ของชุดม่านหลุยส์ ให้ความรู้สึก นุ่มนวล อ่อนช้อย หรูหรา สง่างาม ซึ่งเหมาะกับสถานที่ที่เน้นความพิเศษ เช่น ห้องรับรอง ห้องรับแขก หรือการตกแต่งสถานที่ที่ต้องการความโดดเด่นสดุดตา ผ้าม่าน แบบหลุยส์
แบบหลุยส์ หลุยส์มีหลายรูปแบบ สามารถเลือกตกแต่งได้ ทั้งแบบเรียบๆ ธรรมดาจนถึงหรูหราอลังการ เนื่องจากมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบ เติมแต่งได้อย่างหลากหลาย ทั้งชายครุย เกลียวเชือก สายรวบม่าน ภู่ หรือส่วนอื่น เช่นอุปกรณ์ทองเหลืองที่นำมาใช้ประดับในรูปแบบต่างๆตามการออกแบบ วัสดุไกล้เคียงกันมีราคาแตกต่างกันค่อนข้างมาก ตั้งแต่ราคาหลักร้อย จนถึงราคาหลักพัน แต่สำหรับตามบ้านพักอาศัยทั่วไป อาจได้รับความนิยมน้อยกว่า เนื่องจากรูปสไตล์การแต่งบ้านในยุคปัจจุบันนิยมรูปแบบทันสมัย เรียบง่าย ในสไตล์โมเดิร์นแบบของม่านหลุยส์อาจเหมาะกับบ้านที่มีการตกแต่งออกแนวหรูหรา ในความคิดของเจ้าบ้านยุคนี้ และอีกข้อ ม่านหลุยส์เมื่อเทียบกับม่านอื่นๆแล้วราคาค่อนข้างสูงกว่า งบประมาณค่าใช้จ่ายมากกว่า ทำให้การตัดสินใจทำหลุยส์อาจน้อยกว่าม่านแบบอื่นๆ
ร้านผ้าม่าน CA.DECOR จำหน่าย ผ้าม่าน, มู่ลี่, มู่ลี่ไม้, มู่ลี่อลูมิเนียม, ฉากกั้นห้อง, ฉากกั้นห้องญี่ปุ่น, ม่านม้วน, ม่านปรับแสง, ผ้าม่านรถยนต์, ผ้าม่านหลุยส์, ผ้าม่านจีบ, ผ้าม่านตาไก่, ผ้าม่านพับ, ผ้าม่านลอน, ผ้าม่านกระเช้า, ม่านยก, ม่านกล่อง, ผ้าม่านโรงพยาบาลและ ภาพวิว